วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ปรัชญา
ปรัชญา
พยาบาลพึงเป็นผู้มีความรู้คุ่คุณธรรม เป็นผู้นำในการสร้างเสริมสุขภาพ
ปณิธาน
เป็นสถาบันที่ผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ทุกระดับปริญญาให้มีคุณภาพระดับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการ วิจัย เผยแพร่องค์ความรู้ และการพัฒนานวัตกรรมด้านการพยาบาล การให้บริการวิชาการด้านสุขภาพ มุ่งมั่น พัฒนาบุคลากรในการสั่งสม เสาะแสวงหาความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยผสานองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับวิทยาการที่เป็นสากล
พันธกิจ
1. ผลิตพยาบาลที่มีคุณภาพและมีความเป็นผู้นำ
2. พัฒนาองค์ความรู้ที่มุ่งสร้างนวัตกรรมทางด้านสุขภาพ
3. สร้างเสริมสุขภาพและความเข้มแข็งของชุมชน
4. สืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
พยาบาลพึงเป็นผู้มีความรู้คุ่คุณธรรม เป็นผู้นำในการสร้างเสริมสุขภาพ

เป็นสถาบันที่ผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ทุกระดับปริญญาให้มีคุณภาพระดับมาตรฐานสากล ส่งเสริมการ วิจัย เผยแพร่องค์ความรู้ และการพัฒนานวัตกรรมด้านการพยาบาล การให้บริการวิชาการด้านสุขภาพ มุ่งมั่น พัฒนาบุคลากรในการสั่งสม เสาะแสวงหาความเป็นเลิศทางวิชาการ โดยผสานองค์ความรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นกับวิทยาการที่เป็นสากล

1. ผลิตพยาบาลที่มีคุณภาพและมีความเป็นผู้นำ
2. พัฒนาองค์ความรู้ที่มุ่งสร้างนวัตกรรมทางด้านสุขภาพ
3. สร้างเสริมสุขภาพและความเข้มแข็งของชุมชน
4. สืบสานภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทย
วิสัยทัศน์ เป็นสถาบันการศึกษาพยาบาลชั้นนำแห่งคุณภาพ คุณธรรม และภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อสุขภาพชุมชน
ความเป็นมา
ประวัติความเป็นมา
มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีแผนเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เดิมกำหนดเปิดสอนในปีพ.ศ. 2544 แต่เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัญหาขาดแคลน พยาบาลอย่างชัดเจน กล่าวคือ พยาบาลต่อประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราส่วน 1 : 3,653 ในขณะที่ภาคกลาง ภาคเหนือและภาคใต้ มีอัตราส่วน 1 : 1,296 - 1 : 1,775 (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวง มหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยให้เร่งรัดการเพิ่มผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 - 2542 ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2544 จะมีอัตราส่วน พยาบาลต่อประชากรดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ สภาพการผลิตพยาบาลในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 7 สามารถเพิ่มการผลิต ได้เพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าความต้องการบุคลากรพยาบาลเป็นอย่างมาก (กองแผนงาน สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากร จำนวน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่มีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิต ทางการพยาบาลเพียงสถาบันเดียว คือมหาวิทยาลัยขอนแก่น ดังนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยภูมิภาค ที่จะช่วยตอบสนองนโยบายของรัฐในการผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตลอดจนความเสมอภาคของประชาชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการได้รับการบริการ สุขภาพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงได้ขอปรับแผนพัฒนา การศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ จากปี พ.ส. 2544 เป็น ปี พ.ศ. 2540 และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ 1286/2538 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มี รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการมีหน้าที่ 1) วางแผน และกำหนดทิศทางในการเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ 2) จัดทำหลักสูตร 3) ดำเนินการ ในเรื่องต่างที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเปิดสอน และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดหน่วยงาน ชื่อโครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ขึ้น เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในการดำเนินการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต อนุกรรมการฝ่ายวางแผนการศึกษาภาคปฏิบัติ และอนุกรรมการฝ่ายจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองทางการพยาบาล ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 314 / 2539 เรื่องแต่งตั้งอนุกรรมการ ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2539 อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาล ศาสตรบัณฑิต ได้ยกร่างหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต และดำเนินการตามขั้นตอน กล่าวคือผ่านการพิจารณาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการ วิชาการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย และผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และทบวง มหาวิทยาลัยรับทราบและให้ความเห็นชอบหลักสูตรเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้มีการปรับปรุงข้อบังคับมหาวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี พ.ศ. 2540 จึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ในปี พ.ศ. 2541 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับ ของมหาวิทยาลัย คือมีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่เกิน 140 หน่วยกิต ซึ่งหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2541) ได้ผ่านความเห็นชอบ ของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และทบวงมหาวิทยาลัยรับทราบ และให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2542 และคณะกรรมการข้าราชการและพลเรือนรับรองและรับทราบคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ฉบับปรับปรุงปี พ.ศ. 2541) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต รุ่นแรกรับนิสิต จำนวน 33 คน เมื่อปีการศึกษา 2540 ต่อมาในภาคปลาย ปีการศึกษา 2542 ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ต่อเนื่อง) โดยรับ นิสิต จำนวน 57 คน หลักสูตรนี้ผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2542 และผ่านความเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากประเทศประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลจึงมีนโยบายไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่สามารถจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14(2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย มหาสารคาม ปี พ.ศ. 2538 สภามหาวิทยาลัยมหาสารคามจึงร่างระเบียบว่าด้วยคณะพยาบาลศาสตร์ ปี พ.ศ. 2541 ทำให้มีการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ขึ้นในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาทำนองเดียวกับคณะดำเนินงานในรูปแบบการบริหารในลักษณะ นอกระบบราชการ ที่เน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพและพึ่งตนเองให้มากที่สุด โดยมีสภามหาวิทยาลัยกำกับดูแลทำให้โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เปลี่ยนฐานะ มาเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นรักษาการคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 และรองศาสตราจารย์วลัยพร นันท์ศุภวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ต่อมาจนถึง วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน
มหาวิทยาลัยมหาสารคามมีแผนเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ ในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เดิมกำหนดเปิดสอนในปีพ.ศ. 2544 แต่เนื่องจากมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาลศาสตร์ ซึ่งเป็นสาขาที่ขาดแคลน โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปัญหาขาดแคลน พยาบาลอย่างชัดเจน กล่าวคือ พยาบาลต่อประชากรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราส่วน 1 : 3,653 ในขณะที่ภาคกลาง ภาคเหนือและภาคใต้ มีอัตราส่วน 1 : 1,296 - 1 : 1,775 (สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) และคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สังกัดทบวง มหาวิทยาลัยและสภากาชาดไทยให้เร่งรัดการเพิ่มผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล ตั้งแต่ปีการศึกษา 2536 - 2542 ซึ่งคาดว่าในปี พ.ศ. 2544 จะมีอัตราส่วน พยาบาลต่อประชากรดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ สภาพการผลิตพยาบาลในแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 7 สามารถเพิ่มการผลิต ได้เพียงร้อยละ 14.5 เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าความต้องการบุคลากรพยาบาลเป็นอย่างมาก (กองแผนงาน สำนักงานปลัดทบวงมหาวิทยาลัย, 2535) ในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือมีประชากร จำนวน 1 ใน 3 ของประชากรทั้งประเทศ แต่มีสถาบันอุดมศึกษาของรัฐในสังกัดทบวงมหาวิทยาลัย ผลิตบัณฑิต ทางการพยาบาลเพียงสถาบันเดียว คือมหาวิทยาลัยขอนแก่น ดังนั้นมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของมหาวิทยาลัยภูมิภาค ที่จะช่วยตอบสนองนโยบายของรัฐในการผลิตบัณฑิตทางการพยาบาล เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาสุขภาพของประชาชน ตลอดจนความเสมอภาคของประชาชน ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในการได้รับการบริการ สุขภาพ เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนอันเป็นพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป ดังนั้น มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงได้ขอปรับแผนพัฒนา การศึกษาระดับอุดมศึกษาระยะที่ 8 เปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ จากปี พ.ส. 2544 เป็น ปี พ.ศ. 2540 และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคามที่ 1286/2538 ลงวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538 มี รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นประธานกรรมการ คณะกรรมการมีหน้าที่ 1) วางแผน และกำหนดทิศทางในการเปิดสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ 2) จัดทำหลักสูตร 3) ดำเนินการ ในเรื่องต่างที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การเปิดสอน และจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ จึงทำให้เกิดหน่วยงาน ชื่อโครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ขึ้น เป็นหน่วยงานหนึ่งของมหาวิทยาลัยมหาสารคามตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ในการดำเนินการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการฝ่ายต่าง ๆ ดังนี้ อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต อนุกรรมการฝ่ายวางแผนการศึกษาภาคปฏิบัติ และอนุกรรมการฝ่ายจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเองทางการพยาบาล ตามคำสั่งมหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ 314 / 2539 เรื่องแต่งตั้งอนุกรรมการ ลงวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2539 อนุกรรมการฝ่ายจัดทำหลักสูตรพยาบาล ศาสตรบัณฑิต ได้ยกร่างหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต และดำเนินการตามขั้นตอน กล่าวคือผ่านการพิจารณาจากกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการ วิชาการมหาวิทยาลัย คณะกรรมการบริหารมหาวิทยาลัย และผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2539 และทบวง มหาวิทยาลัยรับทราบและให้ความเห็นชอบหลักสูตรเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2540 เนื่องจากมหาวิทยาลัยได้มีการปรับปรุงข้อบังคับมหาวิทยาลัย ว่าด้วยการศึกษาระดับปริญญาตรีในปี พ.ศ. 2540 จึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต ในปี พ.ศ. 2541 เพื่อให้สอดคล้องกับข้อบังคับ ของมหาวิทยาลัย คือมีจำนวนหน่วยกิตรวมไม่เกิน 140 หน่วยกิต ซึ่งหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ฉบับปรับปรุง ปี พ.ศ. 2541) ได้ผ่านความเห็นชอบ ของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2541 และทบวงมหาวิทยาลัยรับทราบ และให้ความเห็นชอบเมื่อวันที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2542 และคณะกรรมการข้าราชการและพลเรือนรับรองและรับทราบคุณวุฒิผู้สำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ฉบับปรับปรุงปี พ.ศ. 2541) เมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2542 โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต รุ่นแรกรับนิสิต จำนวน 33 คน เมื่อปีการศึกษา 2540 ต่อมาในภาคปลาย ปีการศึกษา 2542 ได้เปิดสอนหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (ต่อเนื่อง) โดยรับ นิสิต จำนวน 57 คน หลักสูตรนี้ผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2542 และผ่านความเห็นชอบจากทบวงมหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2543 เนื่องจากประเทศประสบปัญหาวิกฤตทางเศรษฐกิจตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2540 รัฐบาลจึงมีนโยบายไม่ให้จัดตั้งหน่วยงานใหม่ แต่สามารถจัดตั้งเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับดูแลของสภามหาวิทยาลัยได้ ดังนั้นอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 14(2) และ (4) แห่งพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย มหาสารคาม ปี พ.ศ. 2538 สภามหาวิทยาลัยมหาสารคามจึงร่างระเบียบว่าด้วยคณะพยาบาลศาสตร์ ปี พ.ศ. 2541 ทำให้มีการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ ขึ้นในมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นหน่วยงานจัดการศึกษาทำนองเดียวกับคณะดำเนินงานในรูปแบบการบริหารในลักษณะ นอกระบบราชการ ที่เน้นความคล่องตัว มีประสิทธิภาพและพึ่งตนเองให้มากที่สุด โดยมีสภามหาวิทยาลัยกำกับดูแลทำให้โครงการจัดตั้งคณะพยาบาลศาสตร์ เปลี่ยนฐานะ มาเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ ตั้งแต่วันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2541 เป็นต้นมา โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ เป็นรักษาการคณบดี คณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงวันที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2542 และรองศาสตราจารย์วลัยพร นันท์ศุภวัฒน์ ดำรงตำแหน่งรักษาการคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ ต่อมาจนถึง วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2543 รองศาสตราจารย์ ดร.ดรุณี รุจกรกานต์ ได้ดำรงตำแหน่งคณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ จนถึงปัจจุบัน
วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552
อยากให้เพื่อนๆได้อ่าน
ทุกวัน ฉันต้องตื่นเช้า เข้างานแปดโมง
วันนี้..ก็เหมือนเคย แต่เมื่อคืนฉันทำงานจนดึก ตื่นสาย
อารมณ์ตอนนั้นโมโหตัวเองมาก
ที่ลืมตั้งนาฟิกาปลุก ( โดนเจ้านายด่าแน่ๆ )
แม่มาเคาะประตูห้อง "ตื่นหรือยังลูก หกโมงแล้ว"
ฉันหงุดหงิดมาก
โธ่ !!แล้วทำไมแม่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้
เนี่ย..หนูไปทำงานไม่ทันแล้ว วันนี้..มีประชุมด้วย
"แม่ทำข้าวต้มให้หนูอยู่ เมื่อคืนเห็นนอนดึก อยากให้กินอะไรร้อนๆ น่อย"
แม่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่กง..ไม่กินมันแล้ว
แม่จับแขนฉันเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้อง
อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จลงมาข้างล่าง แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
"กินข้าวต้มกับแม่ก่อนนะลูกนะ แม่รอหนูอยู่"
หนูไม่กิน พูดโดยไม่มองหน้าแม่เดินออกมาจากบ้านทันที
ถึงที่ทำงาน "ไม่รู้หรืองัย ว่าวันนี้มีประชุมแล้วรายงานอยู่ไหน"
ยกมือไหว้ .. ขอโทษค่ะพี่
รีบส่งรายงานให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
"พี่เลื่อนประชุมไปเป็น 10 โมงนะ เดี๋ยวช่วยไปหาอะไรให้พี่กินหน่อยสิ"
.... ได้ค่ะพี่ .....
วิ่งเข้าห้องครัว หยิบโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป
รีบ รีบ รีบ เติมน้ำร้อน ....ว๊า!! น้ำร้อนลวกมือ
..... มาแล้วค่ะพี่ โจ๊กร้อนๆ เลยค่ะ....
ออกจากห้องประชุมเกือบเที่ยง
แม่โทรมาจากบ้าน
"เมื่อเช้า..หนูวางผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงไหนลูก
แม่หาในตะกร้าไม่เจอ จะเอาไปซักน่ะ "
หาไม่เจอก็ไม่ต้องซักหรอก
หนู.....จำไม่ได้ คงโยนไว้ที่ไหนน่ะแหละ
เมื่อเช้าหนูรีบ .......
"ไม่เป็นไรลูก แล้วเย็นนี้..กลับกี่โมง มากินข้าวกับแม่นะ"
ยังไม่รู้หรอกแม่ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่
ยังงัย.....แม่กินไปก่อนเลยแล้วกัน ไม่ต้องรอ
วางหูโทรศัพท์ ก้มหน้า ก้มตาทำงาน เอาใจเจ้านาย
"เอ!! พี่วางบัญชีรายชื่อลูกค้าทิ้งไว้แถวนี้มั่งรึเปล่า
ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน หาไม่เจอ ....
ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูช่วยหาพี่ลงไปทานข้าวเถอะค่ะเที่ยงกว่าแล้วนะคะ
... หา หา หา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
โธ่..พี่ขาก็พี่มาทำหล่นไว้ใต้เก้าอี้ในห้องประชุมนี่นา
โอย !! เที่ยงครึ่งแล้ว ลงไปกินข้าวไม่ทันแน่ๆ
ไม่เป็นไร..บะหมี่ซักห่อพออิ่มก็แล้วกัน
.....พี่คะ เจอแล้วนะคะ พี่ทำหล่นไว้ที่ห้องประชุมค่ะ
" อ้าว..เหรอ " รับเอกสารคืน ไม่มีแม้แต่ขอบใจสักคำ
แต่ฉันกลับปลื้ม ที่ทำให้เจ้านายพอใจได้
ใกล้เลิกงานแล้ว..รีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
"ช่วยแก้งานตรงนี้ให้พี่หน่อยนะ เสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะพี่เลย
พี่กลับก่อนละ..ว่าแต่ว่า เราน่ะมีธุระอะไรรึเปล่า
คงต้องกลับช้านิดนึงนะวันนี้"
.... ยิ้มรับ.. ไม่มีธุระอะไรค่ะพี่
เดี๋ยวหนูพิมพ์ให้เลยค่ะ
โทรหาเจ้านายตอนเกือบทุ่ม .......
พี่ขา หนูแก้ไขและตรวจทานเรียบร้อยแล้วค่ะ
หนูวางไว้บนโต๊ะนะคะ"
กลับดึกจังลูก จะอาบน้ำก่อน หรือ กินข้าวก่อนล่ะ ?? "
......เงียบไม่มีเสียงตอบ ไม่มีรอยยิ้ม
" มา มา แม่ช่วย " แม่รวบของจากมือฉันไปวางบนโต๊ะ
หนูเหนื่อยมากเลยแม่ หนูอยากพักผ่อน กำลังจะเดินขึ้นห้อง
ฮัลโหล..สวัสดีค่ะ..เจ้านายเหรอคะมีอะไรรึเปล่าคะ
อ๋อ !! ไม่ยุ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เลยค่ะ
กุลี กุจอเปิดคอมพิวเตอร์ ..
เจ้านายคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ
แม่...หายไปไหน ในครัวไม่มี ห้องนอนไม่มี
แม่นั่งอยู่หลังบ้านเหงาๆคนเดียว..แม่แอบร้องไห้
เพราะฉันสินะ ฉันทำให้แม่ต้องร้องไห้
แม่...ดูแลฉันมาทั้งชีวิต เป็นห่วงฉัน รักฉันมากกว่าใครๆ
แต่...ฉันตอบแทนได้สาสมเหลือเกิน ฉันเริ่มทบทวน..
เจ้านายคนที่ให้เงินเดือนฉัน กับ แม่คนที่ให้ความเป็นคนแก่ฉัน
เพื่อประจบสอพลอเจ้านาย ฉันทำร้ายผู้ให้กำเนิดได้เพียงนี้เลยหรือ
แม่!! หนูขอโทษ
แม่มีเพียงคนเดียวครับ คนเดียวจริงๆ
ทำดีกับท่านไว้เถอะครับ
สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด
คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน
เราก็คิดอยู่ว่าเราก็ต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป
ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ
ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า
เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน
คน ๆ นั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน
เราก็มักจะเห็นแค่ว่าใครคนหนึ่งกำลังทำอะไรที่ดู งี่เง่า
น่ารำคาญ จนวันหนึ่งถ้าเราสูญเสียคนๆนั้นไป
เราก็อาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง
เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้มาเหมือนเดิม
หรือบางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ
แต่จะมีใครที่เคยรู้สึกถึงความรู้สึกของคนที่เป็นผู้ให้
ให้เราทุกสิ่งทุกอย่าง
บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ
แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ
เหมือนความรักของพ่อแม่
เหมือนความรักของญาติผู้ใหญ่ของคุณ
เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ
คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม
คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอหรือยัง
คุณให้ความสำคัญกับคน-ถูกคนหรือเปล่า
คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่า
คนที่ให้ความรู้สึกที่ดีกับคุณหรือเปล่า
สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตาแต่ต้องมองด้วยหัวใจ
แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง
เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน
เรามองดูความรวยความจนของคน ที่สิ่งของที่เขาใช้
เรามองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น
เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา
แล้วเราก็ตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5นาที
เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา
เราไม่มีเวลาก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ
เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น
แต่ถ้าลองมองย้อนดู
ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน
เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ
ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป
กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมอง
อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆต้องมีรอยร้าว
เพราะเมื่อวันหนึ่งที่คนๆ นั้นต้องจากเราไป
เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี
เราจะได้ไม่รู้สึกผิดเพราะว่า
เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ
"พ่อแม่ผู้แก่เฒ่า"
@ พ่อแม่ ก็แก่เฒ่า ......จำจากเจ้า ไม่อยู่นาน
จะพบ จะพ้องพาน .......เพียงเสี้ยววาน ของวันคืน
@ ขอเถิด ถ้าสงสาร ......อย่ากล่าวขาน ให้ช้ำใจ
คนแก่ ชะแรวัย คิดเผลอไผล เป็นแน่นอน
@ ไม่รัก ก็ไม่ว่า เพียงเมตตา ช่วยอาทร
ให้กิน และให้นอน ......คลายทุกข์ผ่อน พอสุขใจ
@ เมื่อยาม เจ้าโกรธขึ้ง......ให้นึกถึง เมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ ยามป่วยไข้ ......ได้ใครเล่า เฝ้าปลอบโยน
@ เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่....แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียง จะได้ผล ......เติบโตจน สง่างาม
@ ขอโทษ ถ้าทำผิด ......ขอให้คิด ทุกทุกยาม
ใจแท้ มีแต่ความ .......หวังติดตาม ช่วยอวยชัย
@ ต้นไม้ ที่ใกล้ฝั่ง .......มีหรือหวัง อยู่นานได้
วันหนึ่ง คงล้มไป .......ทิ้งฝั่งไว้กลายเป็นดิน
วันนี้..ก็เหมือนเคย แต่เมื่อคืนฉันทำงานจนดึก ตื่นสาย
อารมณ์ตอนนั้นโมโหตัวเองมาก
ที่ลืมตั้งนาฟิกาปลุก ( โดนเจ้านายด่าแน่ๆ )
แม่มาเคาะประตูห้อง "ตื่นหรือยังลูก หกโมงแล้ว"
ฉันหงุดหงิดมาก
โธ่ !!แล้วทำไมแม่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้
เนี่ย..หนูไปทำงานไม่ทันแล้ว วันนี้..มีประชุมด้วย
"แม่ทำข้าวต้มให้หนูอยู่ เมื่อคืนเห็นนอนดึก อยากให้กินอะไรร้อนๆ น่อย"
แม่ไม่ต้องมาพูดเลย ไม่กง..ไม่กินมันแล้ว
แม่จับแขนฉันเบาๆ ก่อนเดินออกจากห้อง
อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จลงมาข้างล่าง แม่นั่งรออยู่ที่โต๊ะกินข้าว
"กินข้าวต้มกับแม่ก่อนนะลูกนะ แม่รอหนูอยู่"
หนูไม่กิน พูดโดยไม่มองหน้าแม่เดินออกมาจากบ้านทันที
ถึงที่ทำงาน "ไม่รู้หรืองัย ว่าวันนี้มีประชุมแล้วรายงานอยู่ไหน"
ยกมือไหว้ .. ขอโทษค่ะพี่
รีบส่งรายงานให้อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
"พี่เลื่อนประชุมไปเป็น 10 โมงนะ เดี๋ยวช่วยไปหาอะไรให้พี่กินหน่อยสิ"
.... ได้ค่ะพี่ .....
วิ่งเข้าห้องครัว หยิบโจ๊กกึ่งสำเร็จรูป
รีบ รีบ รีบ เติมน้ำร้อน ....ว๊า!! น้ำร้อนลวกมือ
..... มาแล้วค่ะพี่ โจ๊กร้อนๆ เลยค่ะ....
ออกจากห้องประชุมเกือบเที่ยง
แม่โทรมาจากบ้าน
"เมื่อเช้า..หนูวางผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงไหนลูก
แม่หาในตะกร้าไม่เจอ จะเอาไปซักน่ะ "
หาไม่เจอก็ไม่ต้องซักหรอก
หนู.....จำไม่ได้ คงโยนไว้ที่ไหนน่ะแหละ
เมื่อเช้าหนูรีบ .......
"ไม่เป็นไรลูก แล้วเย็นนี้..กลับกี่โมง มากินข้าวกับแม่นะ"
ยังไม่รู้หรอกแม่ ว่างานเสร็จเมื่อไหร่
ยังงัย.....แม่กินไปก่อนเลยแล้วกัน ไม่ต้องรอ
วางหูโทรศัพท์ ก้มหน้า ก้มตาทำงาน เอาใจเจ้านาย
"เอ!! พี่วางบัญชีรายชื่อลูกค้าทิ้งไว้แถวนี้มั่งรึเปล่า
ไม่รู้ไปลืมไว้ที่ไหน หาไม่เจอ ....
ไม่เป็นไรค่ะพี่ เดี๋ยวหนูช่วยหาพี่ลงไปทานข้าวเถอะค่ะเที่ยงกว่าแล้วนะคะ
... หา หา หา หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
โธ่..พี่ขาก็พี่มาทำหล่นไว้ใต้เก้าอี้ในห้องประชุมนี่นา
โอย !! เที่ยงครึ่งแล้ว ลงไปกินข้าวไม่ทันแน่ๆ
ไม่เป็นไร..บะหมี่ซักห่อพออิ่มก็แล้วกัน
.....พี่คะ เจอแล้วนะคะ พี่ทำหล่นไว้ที่ห้องประชุมค่ะ
" อ้าว..เหรอ " รับเอกสารคืน ไม่มีแม้แต่ขอบใจสักคำ
แต่ฉันกลับปลื้ม ที่ทำให้เจ้านายพอใจได้
ใกล้เลิกงานแล้ว..รีบกลับบ้านไปนอนดีกว่า
"ช่วยแก้งานตรงนี้ให้พี่หน่อยนะ เสร็จแล้ววางไว้บนโต๊ะพี่เลย
พี่กลับก่อนละ..ว่าแต่ว่า เราน่ะมีธุระอะไรรึเปล่า
คงต้องกลับช้านิดนึงนะวันนี้"
.... ยิ้มรับ.. ไม่มีธุระอะไรค่ะพี่
เดี๋ยวหนูพิมพ์ให้เลยค่ะ
โทรหาเจ้านายตอนเกือบทุ่ม .......
พี่ขา หนูแก้ไขและตรวจทานเรียบร้อยแล้วค่ะ
หนูวางไว้บนโต๊ะนะคะ"
กลับดึกจังลูก จะอาบน้ำก่อน หรือ กินข้าวก่อนล่ะ ?? "
......เงียบไม่มีเสียงตอบ ไม่มีรอยยิ้ม
" มา มา แม่ช่วย " แม่รวบของจากมือฉันไปวางบนโต๊ะ
หนูเหนื่อยมากเลยแม่ หนูอยากพักผ่อน กำลังจะเดินขึ้นห้อง
ฮัลโหล..สวัสดีค่ะ..เจ้านายเหรอคะมีอะไรรึเปล่าคะ
อ๋อ !! ไม่ยุ่งค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการให้เลยค่ะ
กุลี กุจอเปิดคอมพิวเตอร์ ..
เจ้านายคะ เรียบร้อยแล้วค่ะ
แม่...หายไปไหน ในครัวไม่มี ห้องนอนไม่มี
แม่นั่งอยู่หลังบ้านเหงาๆคนเดียว..แม่แอบร้องไห้
เพราะฉันสินะ ฉันทำให้แม่ต้องร้องไห้
แม่...ดูแลฉันมาทั้งชีวิต เป็นห่วงฉัน รักฉันมากกว่าใครๆ
แต่...ฉันตอบแทนได้สาสมเหลือเกิน ฉันเริ่มทบทวน..
เจ้านายคนที่ให้เงินเดือนฉัน กับ แม่คนที่ให้ความเป็นคนแก่ฉัน
เพื่อประจบสอพลอเจ้านาย ฉันทำร้ายผู้ให้กำเนิดได้เพียงนี้เลยหรือ
แม่!! หนูขอโทษ
แม่มีเพียงคนเดียวครับ คนเดียวจริงๆ
ทำดีกับท่านไว้เถอะครับ
สิ่งที่อยู่ใกล้ตัวที่สุดมักเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญที่สุด
คือสิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวัน
เราก็คิดอยู่ว่าเราก็ต้องเห็นอยู่แบบนั้นต่อไป
ไม่เคยคิดว่าสิ่งนี้มันสำคัญ
ไม่เคยเห็นแม้แต่ค่า
เหมือนกับการที่เราเห็นหน้าใครอยู่ทุกวัน
คน ๆ นั้นวิ่งตามเราอยู่ทุกวัน ใส่ใจเราอยู่ทุกวัน
เราก็มักจะเห็นแค่ว่าใครคนหนึ่งกำลังทำอะไรที่ดู งี่เง่า
น่ารำคาญ จนวันหนึ่งถ้าเราสูญเสียคนๆนั้นไป
เราก็อาจจะรู้สึกเสียใจบ้าง
เราอาจจะต้องการเรียกร้องให้มาเหมือนเดิม
หรือบางทีเราก็อาจจะรู้สึกว่าดีใจที่ได้มีชีวิตที่ปราศจากความรำคาญ
แต่จะมีใครที่เคยรู้สึกถึงความรู้สึกของคนที่เป็นผู้ให้
ให้เราทุกสิ่งทุกอย่าง
บางทีสิ่งที่เขาทำอยู่อาจไม่ได้ตั้งใจจะให้คุณรำคาญ
แต่เขาทำไปเพราะเขารักคุณจริงๆ
เหมือนความรักของพ่อแม่
เหมือนความรักของญาติผู้ใหญ่ของคุณ
เหมือนความรักของใครอีกหลายคนที่ให้คุณด้วยความจริงใจ
คุณเคยคิดว่าสิ่งเหล่านี้สำคัญบ้างไหม
คุณเคยคิดว่าคุณดูแลพวกเขาดีพอหรือยัง
คุณให้ความสำคัญกับคน-ถูกคนหรือเปล่า
คุณให้ความสำคัญกับคนที่ให้วัตถุคุณมากกว่า
คนที่ให้ความรู้สึกที่ดีกับคุณหรือเปล่า
สิ่งที่สำคัญมักมองไม่เห็นด้วยตาแต่ต้องมองด้วยหัวใจ
แต่เรามักไม่มีเวลาพอที่จะใช้หัวใจมอง
เรามองอะไรแค่ฉาบฉวยแล้วก็ตัดสิน
เรามองดูความรวยความจนของคน ที่สิ่งของที่เขาใช้
เรามองความดีของคนตรงที่เขาแสดงให้เราเห็น
เรามองอะไรหลายอย่างด้วยตา
แล้วเราก็ตัดสินคนเพียงแค่เวลาไม่เกิน 5นาที
เราต้องสูญเสียมิตรที่ดีไปเพียงเพราะเราอ้างว่าไม่มีเวลา
เราไม่มีเวลาก็ต่อเมื่อเราไม่สนใจ
เราไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนั้น ต่อคนๆนั้น
แต่ถ้าลองมองย้อนดู
ทำไมเราถึงมีเวลาทำอะไรมากมายหลายอย่างในแต่ละวัน
เพราะเราให้ความสนใจ ให้ความสำคัญ
ทำไมคุณไม่ลองให้ความสำคัญกับสิ่งที่คุณลืมไป
กับคนที่หวังดีกับคุณแต่คุณไม่เคยมอง
อย่าปล่อยให้มิตรภาพดีๆต้องมีรอยร้าว
เพราะเมื่อวันหนึ่งที่คนๆ นั้นต้องจากเราไป
เราจะได้จากกันด้วยความรู้สึกที่ดี
เราจะได้ไม่รู้สึกผิดเพราะว่า
เรายังทำดีกับเขาไม่เพียงพอ
"พ่อแม่ผู้แก่เฒ่า"
@ พ่อแม่ ก็แก่เฒ่า ......จำจากเจ้า ไม่อยู่นาน
จะพบ จะพ้องพาน .......เพียงเสี้ยววาน ของวันคืน
@ ขอเถิด ถ้าสงสาร ......อย่ากล่าวขาน ให้ช้ำใจ
คนแก่ ชะแรวัย คิดเผลอไผล เป็นแน่นอน
@ ไม่รัก ก็ไม่ว่า เพียงเมตตา ช่วยอาทร
ให้กิน และให้นอน ......คลายทุกข์ผ่อน พอสุขใจ
@ เมื่อยาม เจ้าโกรธขึ้ง......ให้นึกถึง เมื่อเยาว์วัย
ร้องไห้ ยามป่วยไข้ ......ได้ใครเล่า เฝ้าปลอบโยน
@ เฝ้าเลี้ยงจนโตใหญ่....แม้เหนื่อยกายก็ยอมทน
หวังเพียง จะได้ผล ......เติบโตจน สง่างาม
@ ขอโทษ ถ้าทำผิด ......ขอให้คิด ทุกทุกยาม
ใจแท้ มีแต่ความ .......หวังติดตาม ช่วยอวยชัย
@ ต้นไม้ ที่ใกล้ฝั่ง .......มีหรือหวัง อยู่นานได้
วันหนึ่ง คงล้มไป .......ทิ้งฝั่งไว้กลายเป็นดิน
พระคุณพ่อแม่
พ ร ะ คุ ณ ข อ ง พ่ อ แ ม่
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ
๑. เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใด ก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้เกิดเป็นคน ได้โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำ ความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง
๒. เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด
ยังมีผู้อุปมาไว้ว่า หากเราใช้ท้องฟ้าแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุ แทนปากกา น้ำในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพ่อแม่ จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยอักษร ภูเขาสึกกร่อนจนหมด น้ำในมหาสมุทรเหือดแห้ง ก็ยังบรรยายคุณของพ่อแม่ไม่หมด
บิดามารดาเป็นผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ของบุตร สรุปโดยย่อคือ
๑. เป็นต้นแบบทางกาย แบบเป็นสิ่งที่จำเป็นในการทำให้ของทั้งหลาย ในโลกมีค่าสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ก้อนดินเหนียวธรรมดา ถ้าหากนำมาใส่แบบพิมพ์แล้วพิมพ์เป็นตุ๊กตา ก็ทำให้ดินก้อนนั้นมีค่าขึ้นมา เป็นเครื่องประดับบ้านเรือนได้ ดินเหนียวก้อนเดียวกันนี้ หากได้แบบที่ดีกว่าขึ้นมาอีก เช่นแบบเป็นพระพุทธรูป ดินเหนียวก้อนนี้ก็จะทรงคุณค่ามากยิ่งขึ้น ผู้คนได้กราบไหว้บูชา จะเห็นได้ว่า คุณค่าของดินเหนียวก้อนนี้ขึ้นอยู่กับแบบที่พิมพ์นั่นเอง
ในทำนองเดียวกัน การเกิดของสัตว์ เช่นเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย ฯลฯ แม้จะมีปัญญาติดตัวมามากสักปานใด ก็ไม่สามารถทำความดีได้เต็มที่ โชคดีที่เราได้เกิดเป็นคน ได้โครงร่างที่ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลาย เหมาะในการทำ ความดีทุกประการ เราจึงสามารถใช้ความรู้ความสามารถประกอบคุณความดีได้เต็มที่ ทั้งนี้ก็เพราะเรามีพ่อแม่เป็นต้นแบบทางกายให้นั่นเอง
๒. เป็นต้นแบบทางใจ ให้ความอุปการะเลี้ยงดู ฟูมฟัก ทะนุถนอม อบรมสั่งสอน ปลูกฝังกิริยามารยาท ให้ความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรมแก่ลูก พระคุณของพ่อแม่ในการเป็นต้นแบบทางกายให้เรา ก็นับว่ามีมากเหลือหลายแล้ว ยิ่งท่านอบรมเลี้ยงดูเรามา เป็นต้นแบบทางใจให้ด้วย ก็ยิ่งมีพระคุณมากเป็นอเนกอนันต์
วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)